วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ไวรัสคอมพิวเตอร์

ไวรัสคอมพิวเตอร์

                             ไวรัสคอมพิวเตอร์(computer)หรือเรียกสั้นๆว่าไวรัสคือโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้   ส่วนมากมักจะพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆซึ่งไวรัสแบ่งออกเป็น6ประเภท

              1.ไวรัสพาราสิต(parasitic virus)ไวรัสประเภทนี้จะเริ่มทำงานและจำลองตัวเองเมื่อมีการเรียกใช้งานไฟล์ที่ติดไวรัส  ไวรัสคอมพิวเตอร์โดนส่วนมากจะเป็นประเภทนี้

              2.ไวรัสบูตเซกเตอร์(boot   sector  virus)  ไวรัสประเภทนี้จะฝังตัวลงไปในบูตเซกเตอร์  แทนที่คำสั่งที่ใช้ในการเริ่มต้นการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์  เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นเพื่อใช้งาน   ไวรัสประเภทนี้จะโหลดตัวเองเข้าไปที่หน่วยงานความจำก่อนที่จะโหลดระบบปฏิบัติการ   หลังจากนั้นจะสำเนาตัวเองไปฝังอยู่กับไฟล์อื่นๆด้วย

              3.ไวรัสสเตลท์(stealth  virus)  ไวรัสประเภทนี้เป็นไวรัสที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้อยู่ในรูปแบบที่โปรแกรมป้องกันต่างๆตรวจไม่พบและเมื่อไปติดกับโปรแกรมใดแล้วจะทำให้โปรแกรมนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

              4.ไวรัสโพลีมอร์ฟิก(polymorphic  virus)  ไวรัสประเภทนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกครั้งที่ติดต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์  ซึ่งจะส่งผลทำให้ไวรัสประเภทนี้ตรวจพบได้ยาก

             5.ไวรัสแมโคร(macro  virus) ไวรัสประเภทนี้จะมีผลกับ  Macro  Application   (มักจะพบในโปรแกรมประเภท Word  Processors)  เมื่อผู้ใช้ไฟล์งานที่มีไวรัสติดมาด้วย  จะทำให้ไวรัสไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำจนเต็มซึ่งจะทำให้การทำงานของคอมพิวเตอร์ช้าลง  และอาจส่งผลเสียกับข้อมูลที่เก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์ได้


             6.หนอนอินเทอร์เน็ต(worms)  เป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่จะติดต่อกันได้ทางอินเทอร์น็ตสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว  โดยไวรัสชนิดนี้จะคัดลอกตัวเองซ้ำแล้วใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการแพร่กระจายซึ่งโดยทั่วไปจะมากับอีเมล  ตัวอย่างของหนอนหนังสือในอินเทอร์เน็ต  คือAroreโดยจะทำการค้นหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีระบบปฏิบัติการLinuxหลังจากนั้นจะสร้างช่องทางในคอมพิวเตอร์ให้แฮกเกอร์(hacker)สามารถเข้าไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นได้

ที่มา   หนังสือเทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร  หน้าที่13   เเต่งโดยอารียา  ศรีประเสริฐเเละคณะ

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สู้เพื่อเเม่

   สู้เพื่อเเม่

  วันนี้เป็นวันเเม่ฉันก็รักเเม่ของฉันเเต่เเม่ของฉันตีฉันว่าฉันเเทบทุกวันเเต่หนูก็รักเเม่ของหนูเเละเเม่ก็คือผู้มีพระคุณของฉันอุ้มท้องฉันมาตั้ง9เดือนเเม่ทั้งลำบากทำงานหาเงินมาให้ฉันเพื่อให้ฉันได้เรียนหนังสือได้มีเสื้อผ้าดีๆใส่เหมือนกับครอื่นเเท่ทั้งลำบากเเต่เเม่ก็ทำเพื่อลูกเพื่อไม่ให้ลูกลำบากเเละไม่มีอะไรกินตอนเด็กหนูไม่ได้อยู่กับเเม่เพราะเเม่ไปต่างจังหวัดอาจจะไปทำงานเพื่อให้ฉันสบาย เเละวันนี้เป็นวันที่12 สิงหาคม เป็นวันเเม่เเห่งชาติฉันก็อยากจจะบอกกับเเม่ว่าหนูรักเเม่นะหนูจะตั้งใจเรียนหนังสือจะไม่ทำให้เกรดตกหนูจะตั้งใสเรียนหนังสือไม่เกเรเป็นเด็กดีจะทำตัวให้ดีกว่าทุกๆวันที่ผ่านมาหนูรักเเม่นะเเละในอนาคตฉันก็จะเป็นคนดูเเลเเม่เองเพื่อไม่ให้เเม่ลำบากเเละไม่สบายหนูจะคอยดูเเละเเม่จนกว่าเเม่จะตายหนูจะไม่ทิ้งเเม่หนูจะตั้งใจตทำงานเพื่อมาเลี้ยงเเม่เหมือนตอนที่เเม่เลี้ยงหนูตอนทีี่หนูเป็นเด็กเเละต่อไปนี้หนูจะพยายามเชื่อฟังเเม่ตามที่เเม่สอนตามที่เเม่สั่งทุกอย่างหนูจะไม่ทำให็เเม่ต้องร้องไห้อีกหนูจะไม่ทำให้เเม่ต้องเสียใจวีันที่12สิงหาคมหนูอยากจะให้ดอกมะลิกับเเม่เพราะเเม่เป็นเเม่ของฉันเเละหนูจะตอบเเทนพนะคุณของเเม่ที่เเม่เลี้ยงดูหนูมาเเละเเม่ก็เป็นคนอุ้มท้องหนูมาทั้งเหนื่อยจะทำอะไรก็ลำบากจะนอนก็จะต้องนึกถึงหนุว่าหนูจะเป็นอะไรไหมเวลาเดินเเม่ก็ต้องเดินอย่างระมัดระวังกลัวหนุจะเป็นอะไรตอนเเม่ท้องเม่จะกินอะไรๆก็กินไม้ได้ทำให้เเม่ลำบากวันนี้หนูจึงอยากจะทำให้เเม่สบายไม่อยากทำให้เเม่ลำบากเเละหนูก็รู้ว่าเวลาเเม่ตีหนูเเม่ก็เจ็บเเทนเเม่คงไม่อยากตีหนูเพราะเเม่กลัวว่าหนูจะเจ็บเเละเเม่ตีหนุมันก้ทำให้หนุเป็นเด็กที่อดทนสามารถยืนด้วยขาของตนเองได้ไม่ลำบากเเละเวลาที่หนูไม่สบายเเม่ก้เป็นคนเช็ดตัวให้หนูดูเเลหนูเอายาให้หนูกินเพระอยากให้หนูหายเวลาหนูเข้าโรงพยาบาลเเม่่ก็เป็นคนมานอนเฝ้าไข้หนูอยู่ข้างๆหนูเเละไม่ทิ้งหนูในยามที่ยากลำบากเเละเวลาที่เเม่ตีหนูหนุก็รู้ว่าเเม่ทำไปเพราะรักหนูอยากให้หนูเป็นคนดีของสังคมไม่ทำความผิดโตขึ้นไปหนูก็อยากเป็นทหารเพราะทหารต้องเเข็งเเรงหนูก็จะได้ดูเเลเเม่ได้ยามเเม่เฒ่ายามที่เเม่ลำบากหนูก็จะได้ดูเเลท่านเเละลูกๆทุกคนในวันที่12สิงหาที่จะถึงทุกคนควารทำความดีหรือทำตัวเป็นเด็กดีไม่ดิ้อไม่เกเรกับพ่อเเม่เเละบอกรักท่านในวันเเม่นี้เเต่ความจริงเราก็ควรที่จะบอกรักเเม่กัะนทุกวันเพราะเเม่ก็คงอยากจะฟังคำว่ารักจากลูกๆของตัวเองเเละวันนี้หนูก็จะกลับไปบอกรักเเม่เเม่จะได้ชื่นใจว่าเราเป็นลูกที่ดีกตัญญุต่อพ่อเเม่เเละหนูก็จะกตัญญูต่อพ่อเเละเเม่ของหนูด้วยการเป็นเด็กดีของเเม่เเละพ่อด้วยเเละหนูจะเป็นเด็กดีตลอดไปไม่ทำความผิดไม่เถียงพ่อเเม่ไม่ทำให้ท่านผิดหวังในตัวหนูจะได้สมกับที่เเม่คอยเลี้ยงเเละดูเเลหนูมาจนหนูตอนนี้อายุ13เเล้วหนูโตเเล้วเเม่ก็ยังคอยเป็นห่วงเเละคอยดูเเลฉันเหมือนตอนที่ฉันยังอยู่ประถมเเละหนูก็อยากจะบอกรักเเม่เหมือนตอนที่หนูอยู่ประถมที่หนูให้ของเเม่เเล้วเเม่ก็ยิ้มเเต่ตอนนี้หนูไม่มีของขวัญที่จะมอบให้กับเเม่หนูจึงอยากจะบอกรักเเม่เเทนเเละหนุก็จะให้ดอกมะลิเเม่เเทนเป็นของในวันเเม่เเละหนูสัญญาว่าเวลาหนูมีปัญหาหนูจะมาบอกเเม่ไม่ปกปิดหรือปิดบังเเม่เพื่อไม่ให้เเม่เป็นห่วงหนูหนูสัญญาเเละหนูก็จะรักเเม่ไม่เปลี่ยนไปเเละรักครั้งนี้ก็เป็นรักที่ยาวนานเเละนานตลอดไปเเละหนูเกิดไปชาติหน้าหนูก็อยากจะกลับไปเกิดเป็นลูกของเเม่อีกเเละจะทำตัวให้ดีกว่าที่ทำตอนนี้เเละจะเป็นเด็กดีของพ่อเเม่เเละสังคมส่วนรวมเเละหนูเวลากลับบ้านหนูก็จะโทรหาเเม่ก่อนเพื่อไม่ให้เเม่เป็นห่วงหนูเวลาจะไปไหนหนูก็จะบอกเเม่ก่อนไม่งั้นเเม่ก็จะคอยห่วงหนูเวลาไปไหนหนูจะไม่ไปไหนคนเดียวหนูจะเอาเพื่อนหรือน้องไปด้วยเเม่จะได้ไม่เป็นห่วง   เเละเวลาเเม่ตีหนูหนูก็เคยคิดว้่าเเม่ไม่รักหนูเพราะว่าเเม่ไม่เคยบอกรักหนูเลยเเต่หนูอยากจะบอกเเม่ว่าถึงเเม่จะตีหนูกี่พันครั้งหนุก็อยากจะรักเเม่เเละไม่โกรธ
เพราะเเม่เป็นเเม่ของหนูหนุรักเเม่มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆที่สุดไหนโลกเเละหนูก็สัญญาว่าหนูจะเรียนให้จบไปให้ถึงฝันเเละหนูจะเเต่งเครื่องเเบบทหารหรือให้เเม่ไปดุหนูรับปริญญาให้ได้หนูสัญญาหนูจะเรียนให้จบเเละหนูจะทำฝันให้เป็นจริงให้ได้    หนูรักเเม่...........มาก

หนูรักเเม่มากที่สุด         เเม่เหมือนดุจร่างกายใจของฉัน
                                  ถึงมีหญิงคนอื่นอีกุนับพัน   ไม่สามารถเเทนเเม่ฉันเเค่คนเดียว...........



วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ฉันเจอในวันนี้

   วันนี้ฉันโดนทำโทษเพราะฉันไม่ได้นำงานมาส่งทั้งที่อาจารย์สั่งไว้หลายอาทิตย์เเล้วมันเป็นความผิดของฉันเองที่ฉันไม่ยอมส่งงานฉันจึงโดนลุกนั่งเกือบ50ที  เเละหลายๆครั้งเพราะพวกเราไม่มีความพร้อมเพรียงจึงโดนลุกนั่งหลายครั้งเเต่เราก้อไม่เป็นอะไรเพาะเราไม่ส่งงานเองที่อาจารย์ให้เราลุกนั่งเพราะเราไม่ส่งงานคราวหน้าจะไ้ไม่เกิดเหตุการณ์เเบบนี้ขึ้นอีกเเละฉันก็จะพยายามส่งงานให้ครบทุกวิชาเเละวันนี้ฉันยังเจออีกหลายเรื่องเเละวันนี้ก็สอบวิชาคอมพิวเตอร์ฉันตั้งใจทำเป็นอย่างมากเพราะอาจารย์ให้ดูหนังสือได้เเละอาจารย์ก็ให้ผิดเพียจงเเค่ข้อเดียว  เเละฉันก็ยังทำให้เพื่อนๆที่ทำงานมาโดนลุกนั่งบางครั้งฉันก้อรู้สึกผิดในสิ่งที่ฉันทำให้เพื่อนคนอื่นโดนปั่นจิ้งหรีดอีก6ครั้งเเต่ฉันก็ดีใจที่ฉันเเค่โดนลุกนั่งไม่ได้โดนปั่นจิ้งหรีดหรือโดนตีเเละฉันก็ได้ได้รู้ว่าฉันควารที่จะทำงานมาส่งไม่ใช่ไม่ส่งงานเเบบนี้เเละต่อไปมันคงไม่มีเหตุการณ์เเบบนี้เกิดขึ้นกับฉันอีกเเละนี่ก้อไม่ใช่ครั้งเดัยวที่ฉันโดนลุกนั่งเเต่หลายครั้งเเล้วเเต่ฉันก็ดีใจที่ฉันไม่ได้ทุจริตหรือโกงเหมือนบางคนที่ทำเเต่มันก็ไม่เปนไรเพราะพวกเขารู้จักการเอาตัวรอดที่ดีเเต่ฉันก้อไม่อยากทำเพราะฉันคิดว่ามันเปนสิ่งที่ไม่ดีเลยเเละฉันก็จะไม่ทำเเละจะตั้งใจเรียนให้ดีกว่านี้เเละจะพยายามส่งงานให้ครบขให้ได้เเละฉันจะไม่ทำสิ่งผิดๆอีกด่้วยเเละวันนี้ก้อจะเปนเครั้งสุดท้ายที่ฉันทำเเละโดนลุกนตั่งเพราะมันเมื่อยขมากเเละเวลาลงบรรไดมันก้อปวดขามากๆเลยฉันจึงไม่อยากทำผิดจะได้ไม่ปวดขาเเบบนี้   วันนี้คือวันทีี่เจ็บปวดสุดๆที่ฉันเคยเจอเเละวันนี้คตงจะปวดขาทัั้งวันเลยตั้งใจเขียนมากๆเลยงานครั้งนี้

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เครือขายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายคอมพิวเตอร์



          เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก (อังกฤษ: computer network; ศัพท์บัญญัติว่า ข่ายงานคอมพิวเตอร์) คือเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆในเครือข่าย (โหนดเครือข่าย) จะใช้สื่อที่เป็นสายเคเบิลหรือสื่อไร้สาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันดีคือ อินเทอร์เน็ต
การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกัน เพื่อเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น และลดต้นทุนของระบบโดยรวมลง
การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันในเครือข่าย ทำให้ระบบมีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น การแบ่งการใช้ทรัพยากร เช่น หน่วยประมวลผลหน่วยความจำ,หน่วยจัดเก็บข้อมูลโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีราคาแพงและไม่สามารถจัดหามาให้ทุกคนได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดภาพ (scanner) ทำให้ลดต้นทุนของระบบลงได้
อุปกรณ์เครือข่ายที่สร้างข้อมูล, ส่งมาตามเส้นทางและบรรจบข้อมูลจะเรียกว่าโหนดเครือข่าย. โหนดประกอบด้วยโฮสต์เช่นเซิร์ฟเวอร์, คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและฮาร์ดแวร์ของระบบเครือข่าย อุปกรณ์สองตัวจะกล่าวว่าเป็นเครือข่ายได้ก็ต่อเมื่อกระบวนการในเครื่องหนึ่งสามารถที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกระบวนการในอีกอุปกรณ์หนึ่งได้
เครือข่ายจะสนับสนุนแอปพลิเคชันเช่นการเข้าถึงเวิลด์ไวด์เว็บ, การใช้งานร่วมกันของแอปพลิเคชัน, การใช้เซิร์ฟเวอร์สำหรับเก็บข้อมูลร่วมกัน, การใช้เครื่องพิมพ์และเครื่องแฟ็กซ์ร่วมกันและการใช้อีเมลและโปรแกรมส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีร่วมกัน     

ชนิดของเครือข่าย


ระบบเครือข่ายจะถูกแบ่งออกตามขนาดของเครือข่าย ซึ่งปัจจุบันเครือข่ายที่รู้จักกันดีมีอยู่ 6 แบบ ได้แก่
  • เครือข่ายภายใน หรือ แลน (Local Area Network: LAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกันในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่นอยู่ในห้อง หรือภายในอาคารเดียวกัน
  • เครือข่ายวงกว้าง หรือ แวน (Wide Area Network: WAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกัน ในระยะทางที่ห่างไกล อาจจะเป็น กิโลเมตร หรือ หลาย ๆ กิโลเมตร
  • เครือข่ายงานบริเวณนครหลวง หรือ แมน (Metropolitan area network : MAN)
  • เครือข่ายของการติดต่อระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ หรือ แคน (Controller area network) : CAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ติดต่อกันระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ (Micro Controller unit: MCU)
  • เครือข่ายส่วนบุคคล หรือ แพน (Personal area network) : PAN) เป็นเครือข่ายระหว่างอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล เช่น โน้ตบุ๊ก มือถือ อาจมีสายหรือไร้สายก็ได้
  • เครือข่ายข้อมูล หรือ แซน (Storage area network) : SAN) เป็นเครือข่าย (หรือเครือข่ายย่อย) ความเร็วสูงวัตถุประสงค์เฉพาะที่เชื่อมต่อภายในกับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลชนิดต่างกันด้วยแม่ข่ายข้อมูลสัมพันธ์กันบนคัวแทนเครือข่ายขนาดใหญ่ของผู้ใช้


อุปกรณ์เครือข่าย

  • เซิร์ฟเวอร์ (Server) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องแม่ข่าย เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หลักในเครือข่าย ที่ทำหน้าที่จัดเก็บและให้บริการไฟล์ข้อมูลและทรัพยากรอื่นๆ กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ใน เครือข่าย โดยปกติคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์มักจะเป็นเครื่องที่มีสมรรถนะสูง และมีฮาร์ดดิสก์ความจำสูงกว่าคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย
  • ไคลเอนต์ (Client) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องลูกข่าย เป็นคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายที่ร้องขอ บริการและเข้าถึงไฟล์ข้อมูลที่จัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ไคลเอนต์ เป็นคอมพิวเตอร์ ของผู้ใช้แต่ละคนในระบบเครือข่าย
  • ฮับ (HUB) หรือ เรียก รีพีตเตอร์ (Repeater) คืออุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกลุ่มคอมพิวเตอร์ ฮับ มีหน้าที่รับส่งเฟรมข้อมูลทุกเฟรมที่ได้รับจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่ง ไปยังพอร์ตที่เหลือ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับฮับจะแชร์แบนด์วิธหรืออัตราข้อมูลของเครือข่าย เพราะฉะนั้นถ้ามีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อมากจะทำให้อัตราการส่งข้อมูลลดลง
  • เนทเวิร์ค สวิตช์ (Switch) คืออุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 2 และทำหน้าที่ส่งข้อมูลที่ได้รับมาจากพอร์ตหนึ่งไปยังพอร์ตเฉพาะที่เป็นปลายทางเท่านั้น และทำให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับพอร์ตที่เหลือส่งข้อมูลถึงกันในเวลาเดียวกัน ดังนั้น อัตราการรับส่งข้อมูลหรือแบนด์วิธจึงไม่ขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนิยมเชื่อมต่อแบบนี้มากกว่าฮับเพราะลดปัญหาการชนกันของข้อมูล
  • เราต์เตอร์ (Router)เป็นอุปรณ์ที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 3 เราท์เตอร์จะอ่านที่อยู่ (Address) ของสถานีปลายทางที่ส่วนหัว (Header) ข้อแพ็กเก็ตข้อมูล เพื่อที่จะกำหนดและส่งแพ็กเก็ตต่อไป เราท์เตอร์จะมีตัวจัดเส้นทางในแพ็กเก็ต เรียกว่า เราติ้งเทเบิ้ล (Routing Table) หรือตารางจัดเส้นทางนอกจากนี้ยังส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายที่ให้โพรโทคอลต่างกันได้ เช่น IP (Internet Protocol) , IPX (Internet Package Exchange) และ AppleTalk นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  • บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่มักจะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลน (LAN Segments) เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LAN ออกไปได้เรื่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบ ไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากการติดต่อของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกันจะไม่ถูกส่งผ่าน ไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Data Link Layer จึงทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันในระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Eternet กับ Token Ring เป็นต้น
บริดจ์ มักจะถูกใช้ในการเชื่อมเครือข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่ เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยๆ เหล่านั้นสามารถติดต่อกับเครือข่ายย่อยอื่นๆ ได้
  • เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างประเภทเข้าด้วยกัน เช่น การใช้เกตเวย์ในการเชื่อมต่อเครือข่าย ที่เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี (PC) เข้ากับคอมพิวเตอร์ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็นต้น


ที่มา   https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C

                





วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิดีโอปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง


หอมแผ่นดิน ตอน...แผ่นดินหัวใจ

ถึงคุณมีเงินสิบล้านแต่ไม่มีใครขายข­้าวให้คุณ ไม่มีใครขายผักดีๆ ให้คุณ ก็ไม่มีประโยชน์" ชมหอมแผ่นดิน ตอน...แผ่นดินหัวใจ และคุณจะพบว่าทำไมเธอถึงเลือกที่จะปลูกอาห­าร และยาไว้ในรั้วบ้านของเธอเอง






ที่มา  https://www.youtube.com/watch?v=dw7_Dp_APqA



หอมแผ่นดิน ตอน เริ่มต้น...ที่หัวใจ


เกษตรกรสวนมะนาว ทรงศักดิ์ เขียวคลี่ เกษตรกรคนเก่ง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี แม้ช่วงชีวิตหนึ่งเคยหลงไปในวังวนของการทำ­สวนมะนาวเคมี แต่ในวันนี้เขาพบทางออกสู่การทำสวนมะนาวอิ­นทรีย์ที่ปลอดภัยต่อตนเองและผู้บริโภค
เมื่อเคมีที่เคยให้ผลดีก่อผลร้าย ทรงศักดิ์ตัดสินใจสมัครเป็นหมอดินอาสา เพื่อหวังนำความรู้มาใช้ในสวนมะนาว ปรับปรุงแก้ปัญหาดินเสื่อมสภาพจากการใช้เค­มีหน้าดิน เขาเริ่มทำการปลูกแฝกเพื่อพลิกชีวิตดินชั้­นดีให้กลับฟื้นคืนมาอีกครั้ง และเริ่มทำปุ๋ยหมักที่ถือเป็นปัจจัยแรกในก­ารลดทุนการผลิตไว้ใช้ในสวน





ที่มา  https://www.youtube.com/watch?v=Oj7UqK3vF2w

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เศรษฐกิจพอเพียง

   


ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทาง การดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทย เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนา และบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็นโดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา ความพอเพียงหมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี และต้องประกอบไปด้วยสองเงื่อนไข คือ เงื่อนไขความรู้ เงื่อนไขคุณธรรม 

ที่มา  http://xn--12cmc4a2ea2ac8bl2czera7lj.net/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87.html



เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ประกอบไปด้วยอะไรบ้างนั้น เราได้สรุปรวบยอดมาให้เข้าใจได้ง่ายๆ พร้อมทั้งนำภาพประกอบความเข้าใจ มาให้ดูด้วยเพื่อความเข้าใจที่แจ่มแจ้งขึ้น ซึ่ง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข นั้น แท้จริงแล้ว เป็นบทสรุปของเศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง คือสรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้

รูปภาพเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข(คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)

3 ห่วง คือทางสายกลาง ประกอบไปด้วย ดังนี้

  • ห่วงที่ 1 คือ พอประมาณ หมายถึง พอประมาณในทุกอย่าง ความพอดีไม่มากหรือว่าน้อยจนเกินไปโดยต้องไม่เบียดเบียนตนเอง หรือผู้อื่นให้เดือดร้อน
  • ห่วงที่ 2 คือ มีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ
  • ห่วงที่ 3 คือ มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล

2 เงื่อนไข ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่

เงื่อนไขที่ 1 เงื่อนไขความรู้ คือ มีความรอบรู้เกี่ยวกับ วิชาการต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการ วางแผน และความระมัดระวังในขั้นตอนปฏิบัติ คุณธรรมประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต

เงื่อนไขที่ 2 เงื่อนไขคุณธรรม คือ มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต

นั่นคือสรุปรวบยอดของ เศรษฐกิจพอเพียง สรุปได้เป็น 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ดังที่ได้กล่าวมา หลายๆคนอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ แล้วคงกระจ่างกันสักที เกี่ยวกับ เศรษฐกิจพอเพียงแบบ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น

ที่มา  http://xn--12cmc4a2ea2ac8bl2czera7lj.net/3%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%872%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%82.html


วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ซอฟเเวร์

  
ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
         

   ซอฟต์แวร์ (software) หมายถึงชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงหมายถึงลำดับขั้นตอนการทำงานที่เขียนขึ้นด้วยคำสั่งของคอมพิวเตอร์ คำสั่งเหล่านี้เรียงกันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากที่ทราบมาแล้วว่าคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่ง การทำงานพื้นฐานเป็นเพียงการกระทำกับข้อมูลที่เป็นตัวเลขฐานสอง ซึ่งใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ หรือแม้แต่เป็นเสียงพูดก็ได้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์จึงเป็นซอฟต์แวร์ เพราะเป็นลำดับขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งทำงานแตกต่างกันได้มากมายด้วยซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกัน ซอฟต์แวร์จึงหมายรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกประเภทที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้
การที่เราเห็นคอมพิวเตอร์ทำงานให้กับเราได้มากมาย เพราะว่ามีผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาให้เราสั่งงานคอมพิวเตอร์ ร้านค้าอาจใช้คอมพิวเตอร์ทำบัญชีที่ยุ่งยากซับซ้อน บริษัทขายตั๋วใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในระบบการจองตั๋ว คอมพิวเตอร์ช่วยในเรื่องกิจการงานธนาคารที่มีข้อมูลต่าง ๆ มากมาย คอมพิวเตอร์ช่วยงานพิมพ์เอกสารให้สวยงาม เป็นต้น การที่คอมพิวเตอร์ดำเนินการให้ประโยชน์ได้มากมายมหาศาลจะอยู่ที่ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึงเป็นส่วนสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ หากขาดซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถทำงานได้ ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และมีความสำคัญมาก และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้ระบบสารสนเทศเป็นไปได้ตามที่ต้องการ


ซอฟท์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์

เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงาน มนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบ การที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันแล้ว เรามีภาษาที่ใช้ในการติดต่อซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์ต้องการจะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้และปฏิบัติตาม จะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้ เราเรียกสื่อกลางนี้ว่าภาษาคอมพิวเตอร์
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้า ใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อ
การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยคข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยู่มากมาย บางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการคำนวณทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการจัดการข้อมูล
ในการทำงานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จะแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ดังนั้นจึงมีผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับแปลภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมที่ใช้แปลภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องเรียกว่า คอมไพเลอร์ (compiler) หรืออินเทอร์พรีเตอร์ (interpreter)
คอมไพเลอร์จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อน แล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
ส่วนอินเทอร์พรีเตอร์จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป ข้อแตกต่างระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรีเตอร์จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง ตัวแปลภาษาที่รู้จักกันดี เช่น ตัวแปลภาษาเบสิก ตัวแปลภาษาโคบอล
ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์จึงเป็นส่วนสำคัญที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้ดำเนินการตามแนวความคิดที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว คอมพิวเตอร์ต้องทำงานตามโปรแกรมเท่านั้น ไม่สามารถทำงานที่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในโปรแกรม
ที่มา http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/software/software/